หมวดหมู่: บลจ.

4308 ABRDN Pongtharin


‘อเบอร์ดีน’ มองภาษีทรัมป์เขย่าตลาดโลก ยืดเวลาเก็บ 90 วัน จังหวะปรับพอร์ตการะจายลงทุน

          “บลจ.อเบอร์ดีน” มองทรัมป์เขย่าตลาด นโยบายเก็บขึ้นภาษีนำเข้ายังไม่แน่นอน แม้กลับลำยืดเก็บ 90 วัน แนะจังหวะปรับพอร์ตกระจายลงทุนทั่วโลก หลากหลายสินทรัพย์ รับมือความผันผวนยังสูง มอง “ตราสารหนี้ไทย” น่าสนใจ คาด กนง.หั่นดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งปีนี้ ด้าน “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” สกุลเงินดอลลาร์โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ส่วน “หุ้นโลก” เน้นปันผลสม่ำเสมอ กองทุนแนะนำ ABINC, ABGFIX, ABGDD 

          นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้และการจัดสรรสินทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 

อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) หรือ บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ส่งผลต่อความผันผวนระยะสั้นของตลาดทั่วโลก แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะระงับการเก็บภาษีนำเข้าจากกว่า 75 ประเทศ เป็นเวลา 90 วัน และลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ลงเหลือ 10% แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป้าหมายของทรัมป์ ต้องการลดการขาดดุลทางการค้า เปิดเกมเจรจาเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น อีกทั้งทรัมป์ยังคงเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้ายังคงส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชะลอตัว

          “อเบอร์ดีน แนะนำใช้จังหวะนี้ปรับพอร์ตกระจายลงทุน ซึ่งมองว่าในระยะสั้นตลาดทั่วโลกมีความอ่อนไหวต่อกระแสข่าวค่อนข้างมาก และมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี จึงมองว่าผู้ลงทุนควร stay invested หรือยังคงอยู่ในเกมของการลงทุน โดยแนะนำปรับพอร์ตกระจายลงทุนหลากหลายทั้งภูมิภาคและสินทรัพย์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้” นายพงค์ธารินกล่าว

          กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 3-6 เดือนจากนี้ แนะนำผู้ลงทุนโฟกัสกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นสูงและได้รับผลกระทบในเชิงบวกจากนโยบายภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ดังนี้

          “ตราสารหนี้ไทย” คาดว่าได้อานิสงส์ในเชิงบวก เนื่องจากภาษีนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นยิ่งเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 2 ครั้งในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 1.50% ขณะเดียวกันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเปิดโอกาสให้ ธปท. หันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

          กองทุนแนะนำ ได้แก่ “กองทุนเปิด อเบอร์ดีน อินคัม ครีเอชั่น (ABINC)” ด้วยกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่มากกว่า 2 ปี อีกทั้งมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพประมาณ 35% (ข้อมูล ณ 28 กุมภาพันธ์ 2568) จะช่วยสร้างความสมดุลระหว่างโอกาสรับผลตอบแทนจากอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (yield enhancement) ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพ (high liquidity management) (ความเสี่ยงระดับ 4)

          “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” เน้นลงทุนตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของหุ้นได้ เนื่องจากในอดีต เช่น ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์และโควิด-19 พบว่าการลงทุนในระยะกลางถึงยาวในตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์นั้นมีการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางตรงกันข้าม (Negative Correlation) กับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น

          กองทุนแนะนำ ได้แก่ “กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล เอนแฮนซ์ ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ (ABGFIX)” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ โดยกองทุนหลักชื่อว่า abrdn SICAV I - Short Dated Enhanced Income Fund เน้นลงทุนในบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉลี่ยของพอร์ตอยู่ที่ A- อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ตลงทุนไม่เกิน 2 ปี และมีสภาพคล่องสูง โดยเป็นกองทุนต่างประเทศที่ผู้ลงทุนสามารถรับเงินค่าขายคืนได้ภายใน 2 วันทำการ (ความเสี่ยงระดับ 4)

          สำหรับกลยุทธ์การลงทุนใน “หุ้นทั่วโลก” เน้นลงทุนหุ้นที่จ่ายปันผลสูง เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้จากการจ่ายปันผล รวมถึงหุ้นที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนในหุ้นสไตล์ Defensive ช่วยให้พอร์ตลงทุนมีความทนทานในทุกสภาพตลาดได้ดี

          กองทุนแนะนำ ได้แก่ “กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดิวิเด็น ฟันด์ (ABGDD)” โดยกองทุนหลักชื่อว่า abrdn SICAV I - Global Dynamic Dividend Fund มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลรายเดือนสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงตลาดขาลงและมีการลงทุนในตลาดหลากหลายทั่วโลก ทำให้พอร์ตโดยรวมมีความยืดหยุ่นสูง แม้ในภาวะตลาดมีความไม่แน่นอนสูง (ความเสี่ยงระดับ 6)

 

4308 ABRDN Darunrat

 

          ด้านนางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากนโยบายภาษีศุลกากรสหรัฐฯ โดยดัชนีปรับตัวลงแรงเกือบ 10% (นับจากปิดตลาดวันที่ 3 เมษายนถึงจุดต่ำสุดในวันที่ 8 เมษายน 2568) จากความกังวลถูกเพิ่มภาษีแบบตอบโต้ที่อัตรา 37% อาจส่งผลกระทบต่อ GDP หดตัวลง จึงมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อบรรเทาผลกระทบนี้ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนนโยบายการเงิน อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้น ด้วยการปรับเกณฑ์ชั่วคราวระหว่างวันที่ 8-11 เม.ย.นี้ โดยห้ามทำ Short Sell ทุกหลักทรัพย์และปรับเพดานการซื้อขายให้แคบลงทั้งเพิ่มขึ้นสูงสุด (Ceiling) บวกไม่เกิน 15% และลดลงต่ำสุด (Floor) ไม่เกิน -15%

          สำหรับพอร์ตหุ้นไทยภายใต้การบริหารของอเบอร์ดีน คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวม เนื่องจากผู้จัดการกองทุนได้ปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบัน โดยเน้นลงทุนหุ้น Defensive ที่มีความทนทานได้ค่อนข้างดีในทุกสภาพตลาด รวมถึงหุ้นได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น กลุ่มโทรคมนาคม เฮลท์แคร์และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่า 

          ก่อนหน้านี้อเบอร์ดีนได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Sector) และให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยกว่าดัชนีชี้วัด (Underweight) ในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ หลังภาพรวมการเติบโตของกำไรยังไม่ชัดเจน ส่วนประเด็นที่ได้ประเมินว่าไทยนั้นน่าจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain diversification) อาจเกิดขึ้นช้ากว่าคาด แม้ว่าไทยจะมีความเสี่ยงเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐที่สูงขึ้น แต่เมื่อได้ประเมินต้นทุนส่วนอื่นๆ แล้วไทยยังมีต้นทุนถูกกว่า 

          อย่างไรก็ตามอเบอร์ดีนยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเรื่องการปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศที่สำคัญ เช่น จีน สหภาพยุโรป และเวียดนาม ดังนั้นเชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงทางการค้าและข้อตกลงการค้าทวิภาคีในอนาคตระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่นๆ น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ แต่อาจจะใช้เวลาอีกสักระยะ

          “สำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยจำนวนมากและสามารถถือลงทุนได้ในระยะกลางถึงระยะยาว (ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป) เรามองว่าไม่ใช่จังหวะเหมาะสมที่จะลดน้ำหนักการถือครองกองทุนหุ้นไทยตอนนี้ โดยช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานเป็นจังหวะโอกาสที่ผู้จัดการกองทุนจะเข้าเก็บหุ้นที่มีคุณภาพ มีพื้นฐานแข็งแกร่งที่ราคาปรับลดลงมามากแล้ว อีกทั้งหากประเมินจากสถิติในอดีตพบว่าเมื่อตลาดปรับตัวลดลงมาแรงมาก (นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ดัชนีหุ้นไทย ปรับลดลงมากกว่า 20%) ก็มีโอกาสที่ในระยะสั้นเราจะเห็นการฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ขณะที่นักลงทุนที่มีความกังวลและไม่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้นได้ เราแนะนำให้ลดการถือครองกองทุน หุ้นไทยลงบางส่วน เพื่อไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทยที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว

 

 

4308

Click Donate Support Web 

PTG 720x100

MTI 720x100

Banner GPF720x100 PXTOA 720x100

EXIM One 720x90 C JMTL 720x100

SME720x100 2024

CKPower 720x100

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100pxAXA 720 x100

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!