: ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน 
จีน-ไทยกระชับสัมพันธ์สื่อ! ปิดฉากอบรมเข้มผู้สื่อข่าวไทย หวังต่อยอดความเข้าใจสองชาติ
ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน – โครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนไทย (สบทจ.1) ของสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน (CICG) และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ที่จัดขึ้น ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 27 เมษายน ถึง 11 พฤษภาคม 2568 ได้สิ้นสุดโครงการอย่างลุล่วงด้วยดี ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและความประทับใจ ตลอดระยะเวลา 15 วันอันเข้มข้น ผู้เข้ารับการอบรมได้มีโอกาสเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเสริมสร้างความเข้าใจในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิชาการ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี
ในพิธีปิดการอบรม คุณซง เซียวหยวน ผู้อำนวยการจัดการหลักสูตรจากศูนย์การศึกษาและฝึกอบรม สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน (CICG) ได้กล่าวชื่นชมความเป็นมืออาชีพของคณะผู้สื่อข่าวไทย พร้อมแสดงความขอบคุณต่อทุกภาคส่วนที่สนับสนุนจนโครงการสำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนจะเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป
ด้าน นายหลี่ เหิงเถียน รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาและฝึกอบรม CICG ได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของการสื่อสารโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกออนไลน์ไม่สามารถทดแทนได้ โดยกล่าวว่า “การได้มาสัมผัสประเทศจีนด้วยตนเอง จะช่วยให้ผู้สื่อข่าวไทยเข้าใจจีนได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังเป็นการเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่ายอีกด้วย”
ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ในนามคณะผู้สื่อข่าวจากสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้กล่าวปิดการอบรมด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลจีน กระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน (CICG) และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนโครงการอันทรงคุณค่านี้ พร้อมทั้งย้ำว่า “การอบรมในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มพูนความรู้และทักษะทางวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ในด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการสื่อสารในยุคดิจิทัลอีกด้วย”
ตลอดระยะเวลาการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในหลากหลายสาขา อาทิ ศาสตราจารย์ ไป๋ ชุน จากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง ที่ได้เจาะลึกเรื่องราววัฒนธรรมจีน, หวัง หงป๋อ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยสื่อมวลชนต่างประเทศ CICG ที่ได้นำเสนอนโยบายการบริหารประเทศของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง, เฉิน หยาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อดิจิทัลและ AI จากสถานีโทรทัศน์กลางของจีน, รวมถึง หลิง ชั่ว จากสำนักข่าวซินหัว ชุยอี๋เหมิง จาก CMG และ หลี่ หยาง จากหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียน คณะผู้เข้าร่วมอบรมได้รับข้อมูลเชิงลึกจากนักวิชาการชั้นนำอาทิ หยาง เยว่ และ กัว เยี่ยนจวิน เกี่ยวกับการสร้างประชาคมร่วมกันในภูมิภาค และยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่มีคุณภาพและยั่งยืน
นอกจากการเรียนรู้ในห้องบรรยายแล้ว คณะผู้สื่อข่าวยังได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานในสถานที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ กรุงปักกิ่ง และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยได้เยี่ยมชมศูนย์แสดงสินค้าพิเศษจีน-อาเซียน โรงงานผลิตส้มว่อกาน วิทยาลัยศิลปะกว่างซี และเมืองโบราณไท่ผิง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือในระดับภูมิภาคระหว่างจีน ไทย และกลุ่มประเทศอาเซียน
ในโอกาสอันดีนี้ นายหลี่ เหิงเถียน รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาและฝึกอบรม CICG ได้มอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 27 คน ก่อนที่จะร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก นอกจากนี้ ยังมีการมอบของที่ระลึกอันมีความหมายแก่ผู้เข้ารับการอบรม ได้แก่ กระเป๋าลายเห้งเจีย ซึ่งภายในบรรจุแก้วน้ำ ผ้าลายสวยงาม และแฟลชไดรฟ์รูปเห้งเจีย อันเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของจีน จากวรรณกรรมอมตะเรื่อง “ไซอิ๋ว” ของขวัญชิ้นนี้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่นำเอาลิขสิทธิ์ทางปัญญาของเห้งเจียมาออกแบบโดยสำนักพิมพ์ในสังกัด CICG ของจีน ในขณะที่ฝ่ายไทยได้มอบชุดถ้วยน้ำชาเป็นของที่ระลึก เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน
สำหรับโครงการอบรมอันทรงคุณค่านี้ คณะผู้สื่อข่าวไทยได้แสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการนำเสนอข่าวสารให้มีความลึกซึ้ง เข้าถึงง่าย และตอบสนองต่อความต้องการของผู้อ่านในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชนไทยและจีนอย่างยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
