ภาคตลาดทุนพร้อมรองรับการลงทุนในกองทุน Thai ESGX เตรียมเปิดบริการเช็คข้อมูล LTF ได้ทุกกองทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่ม 2 พ.ค. นี้
กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESGX และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และเปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุน จากทุก บลจ. แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนตั้งเป้าระดมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
ตามที่ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา 2 เดือน คือ พฤษภาคม - มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ในขณะนี้มี Thai ESGX รวม 37 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 19 แห่ง อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้ง
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้เตรียมความพร้อมในการเสนอขาย Thai ESGX พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถดูข้อมูลการถือครองกองทุน LTF ทั้งหมดของตนเองได้ในที่เดียว เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษี ได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/ltf
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ 1) การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX และ 2) การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ตลอดจนผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว”
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ.”
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โดยตั้งแต่กองทุน Thai ESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่ง ทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทย (252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567) มิติของการเติบโตของขนาดกองทุน (AUM 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568) มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน
สำหรับ Thai ESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือแจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น ทั้ง บลจ. และผู้สนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมแล้วที่จะร่วมมือกันเพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำผู้ลงทุน โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท”
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ อาทิ RMF, SSF และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น”
******************
หมายเหตุ :
Thai ESGX เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือความยั่งยืน ที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยที่ Thai ESGX จะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิด้วย
วงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้มาตรการ Thai ESGX แบ่งออกเป็น 2 วงเงิน ประกอบด้วย
วงเงินที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Thai ESGX สามารถเริ่มซื้อได้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน)
วงเงินที่ 2 สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. (ไม่รวม class หน่วยภาษีอื่นภายใต้กองทุนเดียวกัน เช่น class SSF) มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท ตั้งแต่ปีภาษี 2568 - 2572 โดยในปี 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท และปี 2569 - 2572 ให้ได้รับลดหย่อนเป็นจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี
4614